กรุงปรากได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งปราสาทร้อยยอด เมืองแห่งทองคำ เมืองสุดยอดอารยธรรม รวมทั้งเป็นหัวใจแห่งยุโรป
กรุงปรากเป็นเมืองหลวงของประเทศสาธารณรัฐเชค และกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวระยะสั้นที่ได้รับความนิยมที่สุดในยุโรป กรุงปรากเป็นเมืองที่น่าตื่นตาตื่นใจ พรั่งพร้อมไปด้วยศิลปะ ดนตรี การเต้นรำ ภาพยนตร์และละครเวที ทั้งยังเป็นอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมยุโรปขนานแท้ เป็นเมืองที่สวยงามและแสนจะโรแมนติก เต็มไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงามเกินบรรยาย มีสวนที่เงียบสงบ คุณอาจพายเรือเล่นหรือเดินทอดน่องไปตามตรอกแคบๆ บนถนนที่โรยด้วยกรวดหิน แม้ว่าประวัติศาสตร์ของกรุงปรากสามารถนับย้อนไปได้กว่าพันปี แต่นครหลวงของเชคแห่งนี้ก็มีความเป็นเมืองสมัยใหม่ที่มีโรงแรมหรูหรา ภัตตาคารชั้นเลิศที่มีอาหารเชคต้นตำรับและอาหารนานาชาติไว้บริการ รวมทั้งคลับทันสมัยและผับที่เร้าใจ
กรุงปรากเป็นเมืองที่รอดพ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม ทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่โดดเด่น ถนนสายคดเคี้ยว รวมทั้งทัศนียภาพที่ขึ้นชื่อ อาทิเช่น สะพานชาร์ลส์ จัตุรัสเมืองเก่า ปราสาทปราก พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ในเมือง 866เฮคเตอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1992 กรุงปรากเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล และผู้คนก็อบอุ่นเป็นมิตร
เมืองนี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคอมมิวนิสต์เป็นเวลากว่า 40 ปีและแทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเลยจนกระทั่งในปี 1989 เมื่อเกิดปฏิวัติ (The Velvet Revolution) ขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1989 (ปัจจุบันถือเป็นวันหยุดราชการของสาธารณรัฐเชค) ที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเมืองนี้ ปัจจุบัน กรุงปรากเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป นอกจากกรุงปรากจะเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเชคแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย มีนักเขียน ศิลปิน นักกรีฑา นักกีฬา นางแบบรวมทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังหลายต่อหลายคนเกิดที่นี่ ทุกแห่งหนในกรุงปราก คุณจะได้ค้นพบโฉมหน้าทางประวัติศาสตร์อันหลากหลายนับย้อนไปตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันอันรุ่งเรือง จักรวรรดิฮับสบูร์ก สาธารณรัฐเชคโกสโลวักที่หนึ่ง (1918) การยึดครองแคว้นโบฮีเมียและโมราเวียของนาซี สาธารณรัฐสังคมนิยมเชคโกสโลวาเกีย หรือในปัจจุบันที่เป็นประเทศสาธารณรัฐเชคซึ่งเป็นประชาธิปไตย
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงปราก
สะพานต่างๆทอดข้ามแม่น้ำ วัลตาว่า Vltava
ปราสาทแห่งปราก มุมมองจากสะพานชาร์ล
ปราสาทแห่งปราก Prague Castle
ปราสาทแห่งกรุงปรากเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุด และเป็นจุดสำคัญที่สุดของทั้งเมือง เปรียบดั่งว่าเป็นอัญมณีที่ล้ำค่าแห่งเมืองหลวงของเชค ปราสาทแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์อันเก่าแก่ของแผ่นดินเชค และความน่าเป็นไปได้ที่สุดคือ เจ้าชายโปริวอย (Prince Borivoj) เป็นผู้ที่ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 880 โดยตัวปราสาทเองเป็นเสมือนกับเมืองน้อยๆ เมืองหนึ่ง และตามที่หนังสือกินเนตส์ (Guinness Book of World Records) ได้บันทึกไว้ว่า เป็นปราสาทที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างส่วนประกอบต่างๆของปราสาทที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ถึง 70,000 ตารางเมตร (437.5 ไร่) และยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้
ส่วนประกอบต่างๆของตัวปราสาททั้งหมดตั้งอยู่บนยอดเนินเขาและลดหลั่นลงมาจนถึงชายฝั่งด้านซ้ายของแม่น้ำวัลตาว่า (Vltava) ตัวปราสาทอาจดูไม่เหมือนปราสาทแบบดั้งเดิมเป็นเพราะจากการสร้างที่ได้กระจายออกไปตามแนวราบมากกว่าแนวตั้ง
สิ่งที่ดึงดูดและสะดุดตาสำคัญๆ ต่อนักท่องเที่ยวคือมหาวิหารเซนต์วิตุส (St. Vitus cathedral) มหาวิหารหลังนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยศัตวรรษที่ 14 เป็นการสร้างแบบสถาปัตยกรรมโกธิค (Gothic) ที่ได้ตกแต่งประดับประดาไปด้วยหัวสัตว์ประหลาดมากมายที่ทำด้วยหินตั้งอยู่บนหลังคาและปากท่อรางน้ำฝน ส่วนภายในของมหาวิหารนักท่องเที่ยวจะได้พบกับความงามอันประณีตของสถานที่ฝังศพต่างๆ และคุณยังสามารถปีนขึ้นไปบนยอดสุดของหอระฆังได้ ซึ่งเป็นจุดที่สูงสุดของปราสาทและสามารถชมความงามของตัวเมืองทั้งหมดจากมุมสูงตรงนั้น นอกจากนั้นมหาวิหารแห่งนี้ยังมีห้องสำหรับสวดมนต์เล็กที่อยู่ด้านข้างรอบๆ และสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งของห้องสวดมนต์เล็กของ เซนต์ เวนเซสลาส คือกำแพงฝาผนังที่ประดับได้ด้วยพลอยและหินที่มีสีสันสดใสระรานตา
ทางเข้าปราสาท
ซ้ายมหาวิหารเซนต์วิตุส, ขวาทำเนียบประธานาธิบดี
Golden Lane
รอบๆตัวปราสาทมีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งอย่างเช่นถนนโกลเด้น เลน (Golden Lane) ซึ่งเป็นห้องแถวร้านค้าเล็กๆตั้งอยู่เรียงราย ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตห้องแถวเหล่านี้เคยใช้เป็นบ้านพักของทหารยามเฝ้าพระราชวัง พระราชวังเก่ามีการสร้างหลังคาที่มีรูปทรงแหลมสูงแบบสถาปัตยกรรมโกธีกตอนปลาย หรือเรียกอีกอย่างว่าสถาปัตยกรรมโกธิกวิจิตร (late Gothic) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ทุกวันนี้ เช่นเดียวกันกับ มหาวิหารบาซิลลิกา ออฟ เซนต์จอร์จ (The Basilica of St George) และพิพิธภัณฑ์บ้านประวัติศาตร์แห่งเชค (The Museum of Czech History Housed) ตั้งอยู่ในพระราชวังโลปโควิซ (Lobkowicz Palace) และอีกแห่งที่บริเวณใกล้เคียงกันนั้นคือ หอคอยดาลิโบรก้า (Daliborka Tower) ได้ตั้งชื่อหอคอยตามขุนนางท่านหนึ่งผู้ที่เคยถูกกักกันเป็นนักโทษในที่แห่งนั้น และหอคอยเดอะเพาว์เดอร์ (The Powder Tower) ได้เคยเป็นสถานที่นักเคมีได้ทำการทดลองพยายามที่จะเปลี่ยนเหล็กให้เป็นทองคำ
ทำเนียบของประธานาธิบดี
ปราสาทแห่งกรุงปรากเป็นยังเป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐเช็กเช่นเดียวกัน ปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์และการเมืองประเทศของเรา จะได้เห็นสองอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานการสู้รบของ ไททัน (Titans) ตั้งอยู่เหนือประตูทางเข้า คุณจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกเมื่อเวลาที่คุณได้เดินผ่านประตูเข้าสู่ปราสาทอันซับซ้อนและใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้ รวมไปถึงพระราชวัง, โบสถ์สามแห่ง, คอกม้าของราชสำนัก, ที่พักอาศัยของพระ และที่แน่นอนคือสวนรอบๆปราสาทได้รับการตกแต่งอย่างสวยสดงดงาม ความเป็นที่สุดและความสูงตระหง่านเหนือกรุงปรากคือความที่สง่างามอย่างยิ่งและความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารเซนต์วิตัส (St Vitus cathedral)
จตุรัสเมืองเก่า Old Town Square
จัตุรัสแห่งนี้ได้มีนโยบายให้เป็นศูนย์กลางสาธารณะที่สำคัญของกรุงปรากตั้งแต่ศัตวรรษที่ 10 และได้เป็นตลาดหลักตั้งแต่ ศัตวรรษที่ 20 ตอนต้น และปัจจุบันนี้ได้เป็นแหล่งค้าขายสิ่งที่ต้องการให้แก่ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้คนท้องถิ่น และเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ต่างๆ ผับและร้านอาหารอย่างมากมายทั้งนี้ยังรวมไปถึงร้านขายของที่ระลึกราคาถูก รถม้าไว้บริการ, พิพิธภัณฑ์และห้องจัดแสดงผลงานศิลปต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามที่นี่จะเต็มไปด้วยการค้าขายอย่างมากมายแต่ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของจตุรัสแห่งนี้ลดลงแต่อย่างใด
จัตุรัสเมืองแห่งนี้เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการที่จะนั่งข้างนอกผับทั้งหลายแหล่เพื่อที่จะลิ้มลองสุดยอดเบียร์นานาชนิดของกรุงปรากในระหว่างที่คุณดื่มด่ำกับบรรกาศของเมือง ส่วนที่สวยและน่าชมที่สุดของเมืองคือตึกราบ้านช่องที่ระบายด้วยสีพาสเทลที่ตั้งอยู่รอบๆจตุรัสนั้นเอง
ศาลาว่าการเก่า (The Old Town Hall) ที่มีนาฬิกาดาราศาตร์ (The Astronomical Clock) ตั้งอยู่ตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจตุรัส และนักท่องเที่ยวจะได้ชมรูปปั้นตุ๊กตาสาวกของพระเยซูคริสต์ทั้งสิบสองคนปรากฎโฉมออกมาให้เห็นทุกๆชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09:00 จนถึง 21:00 น. ในทางทิศตะวันออกจะเห็นยอดแหลมของของโบสถ์ The Church of Our Lady Before Tyn และบริเวณไกล้ๆกันนั้นจะเป็นพระราชวัง ร็อคโคโค่ คินสกี้ (The Rococo Kinsky Palace) และ เมไดวอล เฮาส์ (The Medieval House) ระฆังหิน (The Stone Bell) และทางริมสุดของทิศตะวันตกจะเป็น โบสถ์ บาร็อก เซ็นต์นิโคลัส(baroque St Nicholas Church) และตรงกลางของจัตุรัสเป็นอนุสาวรีย์แด่ ยัน ฮัส (Jan Hus) ถูกเปิดเผยในปี ค.ศ. 1915 เมื่อตอนวาระครบรอบ 500 ปี การเสียชีวิตของ เดอะมาร์ตทรี่ (The Martyr)
หอคอยที่เป็นที่ยอดนิยมของเมืองคืออาคาร หอนาฬิกา (Town Hall Clock)นาฬิกาดาราศาสตร์ของกรุงปรากเป็นหนึ่งในนาฬิกาที่เก่าแก่และการสร้างที่ประณีตและละเอียดที่สุดที่เคยมีการสร้างมา นาฬิการนี้ถูกติดตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1410 และหลังจากนั้นได้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมนาฬิกานี้โดย เดอะมาสเตอร์ ฮานาส (The Master Hanus) ในปี ค.ศ. 1490 นาฬิกาเรือนนี้มีส่วนประกอบหลักๆอยู่สามส่วนคือ หน้าปัดที่บอกเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การอธิบายตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า และแสดงรายละเอียดอื่นอีกมากมายเกี่ยวกับดาราศาสตร์ “การออกมาเดินของสาวกของพระเยซูทั้ง12คน” นาฬิกาจะบอกเวลาทุกๆชั่วโมงและจะแสดงท่าทางของสาวกของพระเยซูทั้ง 12 คน และการเคลื่อนไหวของรูปปั้นอื่นๆ และหน้าปัดปฎิทินจะเป็นเหรีญแกะสลักขนาดใหญ่อธิบายเดือนต่างๆ
ผู้คนจะรวมตัวกันก่อนหน้าที่นาฬิกาจะแสดงการบอกเวลาตลอดทั้งวันตั้งแต่เวลา 09:00 ถึง 21:00 น. นาฬิการจะแสดงการบอกเวลาทุกๆชั่วโมง การแสดงท่าทางและเสียงระฆังของสาวกพระเยซูจะปรากฏอยู่ด้านบนจะเป็นรูปปั้นของไก่งวง (The Turk) ตัวที่ส่วยหัวในความที่ไม่เชื่อชื่อ เดอะไมเซอร์ (The Miser) ตัวที่จ้องมองทองคำในกระเป๋าของตน และวานิตี (Vanity) ตัวที่ชื่นชมตัวเองในกระจก
การแสดงนาฬิกาดาราศาสตร์ – ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง ฝูงชนจะมารวมตัวกันใต้อาคารศาลาว่าการเมืองเก่าเพื่อเฝ้าดูนาฬิกาดาราศาสตร์เดิน แม้ว่ากิจกรรมนี้จะกินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แต่นาฬิกานี้เป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรป และเป็นจุดท่องเที่ยวที่ “ต้องไปชม” สำหรับผู้ที่มาเที่ยวเมืองปราก
นาฬิกาดาราศาสตร์
จตุรัสเมืองเก่า
สะพานชาร์ล Charles Bridge
สะพานชาร์ลส์โดยปรกติแล้วจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายโดยเฉพาะในช่วงเดือนฤดูใบไม้ผลิและช่วงฤดูร้อน แน่นอนว่าสะพานชาร์ลส์จัดอยู่ในอันดับต้นๆที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญในเมืองนี้ และเป็นสถานที่อันดับต้นๆในรายการที่คุณจะไปเยี่ยมชม ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือตอนเช้าที่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์นี้และเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน แต่อย่างไรก็ตามการเดินเล่นผ่านแสงไฟยามค่ำคืนก็เป็นสิ่งที่สวยงามประทับใจอีกอย่างหนึ่งของกรุงปราก แผงขายของฝากมากมายตั้งเรียงรายอยู่ตามถนนหนทางดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกันกับนักดนตรีข้างถนนที่บรรเลงเพลงของตัวเองจากหัวใจของพวกเขาสู่ใจของคุณยามที่คุณเดินผ่าน และคุณยังสามารถเป็นเจ้าของภาพวาดใบหน้าของคุณโดยศิลปินนักวาดภาพล้อเลียน ก็นับเป็นของที่ระลึกอีกอย่างที่จะได้น่านำกลับบ้านเช่นกัน
สะพานชาร์ลส์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งนี้ทอดตัวข้ามแม่น้ำวัลตาวา (Vltava River) ในกรุงปราก และสะพานได้เชื่อมต่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างยุโรปตะวันออกและตะวันตก และทำให้กรุงปรากเป็นเมืองสำคัญในฐานะเมืองแห่งเส้นทางการค้าขาย ตัวสะพานดั้งเดิมเคยถูกขนานนามว่า สะพานหิน หรือ สะพานแห่งกรุงปราก แต่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “สะพานชาร์ลส์” “Charles Bridge” เมื่อปี ค.ศ. 1870
สะพานชาร์ลยามค่ำคืน
สะพานชาร์ลยามเช้า
กิจกรรมบนสะพานชาร์ลที่มีให้เห็นทุกวัน
ในปี 1357 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 ทรงโปรดให้สถาปนิกและช่างก่อสร้างชื่อ ปีเตอร์ พาร์เลอร์ (Peter Parler) ให้สร้างสะพานที่ทันสมัยในยุคนั้น ในความคิดเริ่มแรกคือการสร้างแล้วสามารถที่จะใช้ประโยขน์ในการแข่งขันการต่อสู้บนหลังม้า และหลายปีผ่านไปการตกแต่งสะพานแห่งนี้มีเพียงแค่กางเขนที่มีรูปหุ่นพระเยซูถูกตรึงอยู่เท่านั้นเอง หลังจากนั้นความปรารถนาของชาวคาทอลิคที่มีต่อการประดับประดาตกแต่งสะพานให้ดูสวยงามขึ้น ก็ได้ลงเอยกันด้วยการจัดสร้างรูปปั้นเพิ่มเติม 30 รูป และเริ่มสร้างตั้งแต่ปี (ค.ศ.1600 ถึงปี 1800)
ปัจจุบันนี้รูปปั้นส่วนใหญ่เป็นของเลียนแบบ ส่วนสาเหตุที่ทำให้รูปปั้นเสียหายและได้ทำของเลียนแบบขึ้นมาคือจากการถูกน้ำท่วมซ้ำหลายครั้งหลายครา และภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นในหลายๆศตวรรษที่ผ่านมา และรูปปั้นที่เก่าแก่ที่สุดตรงนี้คือ รูปปั้นไม้กางเขนที่มีพระเยซูถูกตรึงอยู่ (ค.ศ.1657) ตั้งอยู่ตรงไกล้กับปลายสะพานด้านเมืองเก่า (Old Town) ข้อความที่จารึกในแผ่นป้ายภาษาฮิบบรูที่เคลือบทองเขียนไว้ว่า “แด่พระเจ้าผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์” ‘Holy, holy, holy, the Lord of Hosts’ ด้วยการได้ทุนการสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1694 โดยการเรียกค่าปรับจาก อีเลียส แบ็คโคเฟน (Elias Backoffen) ชาวยิวในสมัยนั้น รูปปั้นที่น่าสนใจและเก่าแก่ที่สุดคือรูปปั้นของ จอหน์ เนปโปมุค (John Nepomuk) ในตำนานกล่าวไว้ว่าถ้าคุณได้เอามือลูบกับแผ่นจารึกทองแดงที่อยู่ตรงฐานของรูปปั้นนั้นแล้ว แน่นอนว่าสักวันหนึ่งคุณต้องหวนกลับมายังกรุงปรากอีกครั้ง และนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาล้วนแต่ได้เอามือลูบแผ่นจารึกนั้นทั้งสิ้น จนกลายเป็นแผ่นสีทองแววาวสุกใส
ตัวสะพานมีความยาวทั้งสิ้น 516 เมตร ประกอบด้วยตอม่อ 16 ต้น และหอสะพานสามแห่ง หนึ่งในจำนวนหอสะพานคือหอสะพานเมืองเก่า (Old Town Bridge Tower) ที่ได้รับการพิจารณายกย่องให้เป็นหอสะพานที่สวยที่สุดในยุโรป เป็นเพราะการตกแต่งผลงานการปั้นแกะสลักหรือรูปหล่อที่สวยงามสมบูรณ์แบบ หอสะพานนี้ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมทิวทัศน์จากดาดฟ้าของหอคอยสะพานเพื่อชื่นชมกับสุดยอดของแสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าด้วย
ที่มา: Prague Tourist Guide, travel.kapook.com, Wikipedia.org